วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552

เพิ่มน้ำอสุจิของผู้ชาย

อยากได้ความรู้เกี่ยวกับอสุจิและการเพิ่มน้ำอสุจิของผู้ชาย ทำอย่างไรให้มีน้ำเยอะๆ เพราะบางคนน้ำน้อยมาก มีเทคนิคการกินอาหารบำรุงร่างกายประเภทไหนบ้าง เพราะเวลาที่แฟนเสร็จ น้ำของเขาหลั่งมานิดเดียวเอง ซึ่งปริมาณอันน้อยนิดนี้มันทำให้ดูเหมือนเขาไม่เอ็นจอยมีอารมณ์กับความสุขสมที่ดิฉันอุตส่าห์จัดให้กับเขา
จริงๆ แล้วจะน้ำมากน้ำน้อยหาได้มีอิทธิพลต่อความสนุกสุขอารมณ์ไม่ ของเหลวขนาด 1 ช้อนโต๊ะที่ผู้ชายหลั่งเมื่อถึงจุดสุดยอดในแต่ละครั้งนั้น โดยเฉลี่ยแล้วให้พลังงาน 5-25 แคลอรีเท่านั้นเอง น้อยกว่าน้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะอีก ดังนั้นการเผลอกลืนกินเข้าไปจึงไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้คุณน้องอวบอ้วนไปกว่าเดิม แต่ให้ระวังไว้หน่อยว่าผู้หญิงประมาณ 5% มีสิทธิ์เป็นโรคภูมิแพ้ต่อของเหลวชนิดนี้ มีข้อมูลจากบางสำนักที่เชื่อว่าผลไม้อย่างกีวี สับปะรด แตงโม และผักอย่างเซอลารี่ มีผลทำให้รสชาติของซีเมนหรืออสุจิเจือจางลง ส่วนเบียร์และกาแฟจะทำให้รสชาติของซีเมนขมขึ้น ส่วนปัจจัยด้านใดบ้างที่จะส่งผลต่อการสร้างน้ำเชื้อของฝ่ายชายและเพิ่มน้ำเชื้อของฝ่ายชายนั้น แนะนำว่าการพักผ่อนอย่างเพียงพอ การรับประทานปริมาณสารอาหารให้ครบถ้วน และหัดใช้อวัยวะส่วนนั้นบ้าง อย่าได้หักโหมเกินไป ก็จะช่วยเพิ่มปริมาณสารหลั่งรักของเขาให้เพิ่มขึ้นได้

ป้ายกำกับ: , ,

วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2552

กรดโฟลิก

กรดโฟลิกดีจริง !ต้องกินก่อนท้อง 1-3 เดือน
โดย เกตน์สิรี

แม้ว่าคุณผู้หญิงหลายคนจะรู้จักกรดโฟลิกเป็นอย่างดีแล้ว แต่เชื่อว่ายังมีอีกไม่น้อยที่ไม่คุ้นเคย หรือไม่รู้จัก และถ้าคุณกำลังวางแผนจะมีเจ้าตัวน้อยล่ะก็ ต้องเร่งรีบทำความรู้จักเลยล่ะค่ะ เพราะกรดโฟลิกเป็นวิตามินบีตัวหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง หากคุณวางแผนจะมีลูกแล้วกินกรดโฟลิกก่อนท้อง 1-3 เดือน จะช่วยให้พัฒนาการของสมองลูกเป็นไปอย่างสมบูรณ์ ช่วยป้องกันความพิการที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงชีวิตของลูกด้วยค่ะ


สาเหตุที่นำเสนอเรื่องนี้เพราะได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณแม่ท่านหน ึ่ง ซึ่งเคยสูญเสียลูกขณะตั้งครรภ์ได้ 5 เดือน เพราะกะโหลกศีรษะไม่ปิด การสูญเสียครั้งนั้นทำให้เธอกลัวการมีลูกไม่น้อย

คุณอรวรรณ มีสีผ่อง เล่าให้ฟังว่า "ปกติเป็นคนรักเด็กค่ะ ชอบท้องและมีความสุขมากขณะท้อง

มีลูกแล้ว 2 คน คลอดออกมาแข็งแรงสมบูรณ์ดีทุกอย่าง จึงอยากมีอีกสักคน เมื่อรู้ว่าท้องจึงไปฝากท้องตามปกติ และไปตรวจครรภ์ตามที่หมอนัดทุกเดือน ไม่พบความผิดปกติใดๆ จนท้อง 4 เดือนกว่า คุณหมอนัดให้ไปอัลตราซาวนด์เพื่อเจาะถุงน้ำคร่ำ

เลยรู้ว่ากะโหลกของลูกไม่ปิด คือไม่มีสมองส่วนบน ซึ่งเป็นสมองส่วนที่เกี่ยวกับความคิด การจำ แต่ที่ลูกยังดิ้นและมีชีวิตอยู่ได้เพราะสมองส่วนท้ายซึ่งเกี่ยว กับการเจริญเติบโตยังสมบูรณ์อยู่

ถ้าปล่อยให้ท้องต่อไปเขาจะเติบโตตามปกติจนกระทั่งคลอด แต่หลังคลอดจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 24 ชั่วโมง เมื่อปรึกษากับสามีและครอบครัวจึงตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์”

ถึงตอนนี้เธอยังคงมีคำถามคาใจว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ดูแลตัวเองและลูกอย่างดีมาตลอด

สำหรับคำถามนี้บอกได้ว่า ปัจจัยครึ่งหนึ่งมาจากขาดกรดโฟลิกค่ะ !



กรดโฟลิก สำคัญต่อการสร้างตัวอ่อน

กรดโฟลิกเป็นวิตามินบีชนิดหนึ่งที่ละลายได้ในน้ำ มีความจำเป็นต่อการสร้างเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย ทั้งดีเอ็นเอและอาร์เอ็นเอ ผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ทุกคนโดยเฉพาะผู้หญิงที่แต่งงานและเตรียม จะมีเจ้าตัวเล็ก ควรได้รับกรดโฟลิกเพื่อนำไปใช้ในการสร้างตัวอ่อน

ซึ่งหากเปรียบกระบวนการสร้างตัวอ่อนเหมือนกับทองม้วนแผ่นแบนๆ พอม้วนเสร็จจะเป็นท่อกลม (คือหลอดประสาท) มีสองปลาย ตรงกลางคือลำตัว ปลายท่อด้านหัวจะเป็นสมอง ส่วนปลายท่อด้านท้ายจะเป็นไขสันหลัง เมื่อม้วนเสร็จจะต้องปิดหัวปิดท้าย

- ถ้าแม่ท้องขาดกรดโฟลิกจะทำให้ตอนม้วนๆ ได้ไม่สมบูรณ์ เป็นเหตุให้เกิดความพิการ เช่น ความผิดปกติของปากและเพดาน ความผิดปกติของหัวใจละหลอดเลือด

-แต่ถ้าตอนม้วนแล้วหัวท้ายไม่ปิด จะส่งผลให้เกิดความพิการได้เช่นกัน

ถ้าเป็นส่วนหัว จะมีความพิการของสมอง ระบบประสาทส่วนกลาง และกะโหลกศีรษะไม่ปิด

ถ้าเป็นส่วนท้าย จะทำให้กระดูกสันหลังแหว่ง หรือปิดไม่สนิท ความพิการที่เกิดขึ้นเช่น จะมีถุงน้ำที่ไขสันหลัง เอว หรือกระดูกก้นกบปูดออกมา ซึ่งความรุนแรงมีหลายระดับ บางรายถ้าเป็นมากก็ถึงขั้นเสียชีวิต ถ้าเป็นน้อยก็รักษาให้หายและสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ

กรดโฟลิก กินก่อนท้อง 1-3 เดือน

สำหรับผู้หญิงที่แต่งงานแล้วและกำลังคิดจะมีลูก อย่าปล่อยให้ความคิดดีๆ นั้นผ่านไปโดยคุณไม่ได้ทำอะไรเลยนะคะ เพราะสิ่งสำคัญก่อนที่คุณจะมีลูก ก็คือการวางแผนครอบครัว ซึ่งเป็นการวางแผนเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ

โดยเฉพาะการกินกรดโฟลิกเสริมก่อนตั้งครรภ์อย่างน้อย 1-3 เดือน และกินต่อไปอีก 3 เดือนหลังตั้งครรภ์แล้ว จะได้รับประโยชน์และช่วยลดความพิการของโรคได้ แม้ความเสี่ยงเหล่านี้มีเพียง 1:1,000 ของการตั้งครรภ์ก็ตาม แต่ก็เป็นเร่องที่เราไม่ควรเสี่ยง จริงไหมคะ

ส่วนการกินกรดโฟลิกขณะตั้งครรภ์ จะไม่มีผลต่อการป้องกันความพิการแต่กำเนิด เนื่องจากการปิดหัวปิดท้ายจะปิดเสร็จภายใน 28 วันหลังปฏิสนธิ (ปฏิสนธิช่วงกลางรอบเดือนที่มีไข่ตก) ซึ่งกว่าจะรู้ตัวว่าประจำเดือนไม่มา หรือรู้ว่าท้องก็เลยช่วงเวลานี้ไปแล้ว เพราะแต่ละวันกลไกของธรรมชาติร่างกายคนจะถูกกำหนดไว้เรียบร้อยแ ล้วว่าจะสร้างอะไร เมื่อผ่านไปแล้วก็ไม่สามารถกลับมาสร้างซ้ำได้อีก

สำหรับคุณแม่ที่ไม่ได้เสริมกรดโฟลิกก่อนตั้งครรภ์ก็ไม่ต้องตกใจ นะคะ เพราะกรดโฟลิกจะมีในอาหารที่เรากินทุกวันอยู่แล้วค่ะ ถ้าคุณไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงก็ไม่ต้องกังวล และอีกอย่างหนึ่งคือ ความผิดปกติเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับเด็กทุกคน และไม่ได้เกิดขึ้นจากการขาดกรดโฟลิกอย่างเดียว ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกถึง 50% คือ

- ความผิดปกติของโครโมโซม ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับไข่ของคุณแม่มากกว่าน้ำเชื้อของคุณ พ่อ เพราะจะมีการแบ่งโครโมโซมไว้ครึ่งหนึ่งแล้วตั้งแต่อยู่ในท้องเพ ื่อรอปฏิสนธิ ซึ่งอาจจะมีการแตก หัก หลุด และไปจับกันใหม่จนผิดที่ผิดทาง หรือหายไปบ้าง พอผสมกับน้ำอสุจิทำให้ไม่ครบคู่บ้าง เกินบ้าง ยิ่งอายุเกิน 40 ปีขึ้นไป เปอร์เซ็นที่จะเกิดก็เพิ่มมากขึ้นไปด้วย

- ได้รับเชื้อบางชนิดระหว่างตั้งครรภ์ เช่น ไวรัสหัดเยอรมัน ก็มีส่วนทำให้สมองพิการได้เหมือนกัน เช่น ปัญญาอ่อน สมองลีบเล็กไม่เติบโต

- การกินยาบางชนิดขณะตั้งครรภ์ เช่น ยาขับประจำเดือนและยาอื่นๆ ซึ่งเข้าไปรบกวนการสร้างอวัยวะ เป็นต้น

- อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี เช่น พื้นที่เสี่ยง โดนรังสีเอกซ์เรย์ ได้รับสารเคมีบางอย่าง เป็นต้น


กรดโฟลิก กินแค่ไหนจึงจะพอ

แม่กลุ่มทั่วไป คือกลุ่มที่ไม่เคยมีประวัติว่าลูกหรือญาติมีความพิการแต่กำเนิด เมื่อตั้งครรภ์กรดโฟลิกในตัวแม่จะลดลง เนื่องจากถูกดึงไปใช้ในการสร้างตัวอ่อน ดังนั้นควรได้รับอย่างน้อยวันละ 400 ไมโครกรัม (0.04 มิลลิกรัม) จึงจะช่วยลดอุบัติการณ์ความพิการแต่กำเนิดได้มากกว่า 50% แต่ถ้าไม่ได้รับกรดโฟลิกก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดความพิการแต่กำ เนิดมากกว่า 50% เช่นกัน

แม่ในกลุ่มเสี่ยง คือกลุ่มที่มีประวัติว่าลูกหรือญาติเคยมีความพิการเกิดขึ้นอย่า งชัดเจน เช่น ความพิการของกะโหลก ระบบประสาทส่วนกลาง สมองพิการแต่กำเนิด โรคปากแหว่งเพดานโหว่ หรือแม่เป็นโรคโลหิตจาง เป็นต้น แม่กลุ่มนี้จะต้องได้รับกรดโฟลิกเพิ่มเป็นวันละประมาณ 40,000 ไมโครกรัม (4 มิลลิกรัม) คือมากกว่าแม่กลุ่มปกติประมาณ 100 เท่าค่ะ


กรดโฟลิก หาง่าย & สูญสลายง่าย

หาง่าย บ้านเรามีอาหารที่มีกรดโฟลิกให้เลือกมากมาย เพราะมีอยู่ในผักใบเขียวเกือบทุกชนิด เช่น คะน้า กะหล่ำปลี ปวยเล้ง ผักกาดหอม หน่อไม้ฝรั่ง บล็อกโคลี ถั่วลันเตา ธัญพืชต่างๆ ผลไม้ตระกูลส้ม ที่สำคัญหากได้รับกรดโฟลิกแบบครบคุณค่าควรกินแบบสดๆ หรือถ้าจะลวกก็ต้องทำด้วยความรวดเร็วค่ะ

สูญสลายง่าย

- การปรุงอาหารที่ต้องใช้ความร้อนนานๆ จะทำให้กรดโฟลิกสูญสลายได้ง่าย

- หากมีอาการตัวร้อนและเป็นไข้หลายวัน ด้วยอุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นทำให้ระดับกรดโฟลิกในร่างกายลดลงไ ด้เช่นกัน

- การได้รับยารักษาโรคลมชัก คนที่เป็นโรคลมชักและต้องกินยาเป็นประจำ ยาตัวนี้จะเข้าไปต่อต้านการสร้างโปรตีนและลดการดูดซึมของกรดโฟล ิก ดังนั้น คุณแม่ที่มีภาวะลมชักอยู่จะต้องกินโฟลิกให้มากขึ้นประมาณ 10 เท่าจากที่กินอยู่เดิมค่ะ
การวางแผนกินกรดโฟลิกก่อนตั้งครรภ์ 1-3 เดือน เป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่า และคุ้มเวลาแห่งการรอคอยของคนเป็นแม่แน่นอนค่ะ

ป้ายกำกับ: , ,

วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สมุนไพรรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้

สมุนไพรรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้


สาเหตุของโรคดังกล่าวยังไม่ชัดเจน ปกติจะมีสารเมือก (mucin) หลั่งออกจากต่อมในส่วนล่างของหลอดอาหาร กระเพาะอาหารและส่วนบนของลำไส้เล็ก เพื่อป้องกันเยื่อบุกระเพาะจากฤทธิ์กัดของน้ำย่อยที่เป็นกรดอย่างแรง แต่มีปัจจัยบางอย่างที่คาดว่าจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารอ่อนแอลง เกิดการอักเสบและเป็นแผลได้ง่าย เช่น ภาวะขาดอาหาร ภาวะเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ รับประทานยาหรือสารบางชนิดที่กัดกระเพาะ สูบบุหรี่จัด ดื่มกาแฟที่มีคาเฟอีนมากหรือเนื่องจากกรรมพันธุ์

อาการระยะแรก คือ ปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ อาจมีความรู้สึกอิ่มแน่นหรือหิวร่วมด้วย แผลในกระเพาะอาหารมักปวดท้องหลังอาหารประมาณ 1-ชั่วโมงครึ่ง ส่วนแผลในลำไส้มักปวดท้องหลังอาหารประมาณ 2-4 ชั่วโมง และช่วงดึกหลังเที่ยงคืนด้วย

การรักษาจะไม่หายขาด ผู้ป่วยจะต้องดูแลตนเองคล้ายกับผู้ป่วยท้องอืด ท้องเฟ้อ ระยะที่ปวดท้องควรดื่มนมถั่วเหลืองทุก 3-4 ชั่วโมงพร้อมทั้งใช้สมุนไพรที่แนะนำ รับประทานอาหารอ่อน ทานอาหารครั้งละน้อยๆ แต่ทานบ่อยๆ งดอาหารรสจัดและสิ่งต้องห้ามข้างต้น และหาทางคลายเครียดด้วย จะมีสมุนไพรที่ช่วยรักษาเยื่อบุทางเดินอาหารให้แข็งแรงขึ้น และควรใช้สมุนไพรขับลมร่วมด้วย
กล้วยน้ำว้ารับประทานผลดิบสดครั้งละครึ่งถึง 1 ผล อาจใช้ผลดิบหั่นบางๆตากแห้ง บดเป็นผงชงน้ำดื่ม ใช้ผงยาเท่ากับครึ่งถึง 1 ผล

ข้อควรระวัง อาจมีอาการท้องอืดหลังรับประทานยานี้ แก้ได้โดยดื่มน้ำต้มขิงหรือสมุนไพรขับลมอื่นๆ
ขมิ้นชันผงขมิ้นครั้งละ 500 มิลลิกรัม วันละ 3-4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอนหรือปั้นเป็นลูกกลอนขนาดปลายนิ้วก้อย รับประทานครั้งละ 2 เม็ด
ขอบคุณ ข้อมูลจากเวปไซต์สมุนไพร

ป้ายกำกับ: ,

วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2552

อาการนอนกับอาการปวดหลัง (อสมท.)

ท่านอน ถือเป็นท่าที่หมอนรองกระดูกสันหลังรับแรงน้อยที่สุด ดังนั้นท่านอนจึงเป็นท่าพักผ่อนที่ดีที่สุด บางคนเมื่อศีรษะถึงหมอนก็หลับสบายจนถึงเช้า อาจไม่สนใจว่าตนเองจะนอนท่าไหน รู้ตัวอีกทีตื่นมาตอนเช้าพบว่าเกิดอาการปวดหลัง หรือหันหน้าซ้ายขวาไม่ได้เลย จนต้องรีบไปหาหมอ

ท่านอนของแต่ละคนจะแตกต่างกันออกไป บางคนชอบนอนหงาย บางคนก็ชอบนอนตะแคง หรือบางท่านอาจชอบนอนคว่ำก็มี เราลองมาดูกันว่าท่านอนแต่ละท่านั้น มีความแตกต่างกันอย่างไร และควรนอนในแต่ละท่าอย่างไรให้ถูกต้อง

ท่านอนหงาย โดยมีหมอนหนุนใต้ข้อเข่า ให้ข้อสะโพกงอเล็กน้อย ท่านี้ถือว่าเป็นท่านอนที่เหมาะ หรือเป็นท่าที่ลดแรงกดของหลังได้ดี ส่วนที่ศีรษะควรมีหมอนเตี้ยๆ นุ่มๆ หนุนให้รู้สึกสบาย

ท่านอนตะแคง เป็นท่าที่ดีอีกท่าหนึ่ง โดยเฉพาะหากได้งอเข่าข้างหนึ่ง และมีหมอนข้างกอดไว้ หรือจะงอเข่าทั้งสองข้างในท่าคู้ตัวก็ได้ สำหรับหมอนที่ใช้หนุนในท่านี้ควรมีความหนามากพอที่จะให้ศีรษะอยู่ในแนวเดียวกันกับลำตัว หากใช้หมอนเตี้ยเกินไป ศีรษะจะเอียงลงหรือหาหมอนที่มีความสูงเท่าหรือใกล้เคียงกับระยะจากระดับด้านข้างของศีรษะไปถึงแนวระดับไหล่ เมื่อหนุนแล้ว จึงทำให้แนวของกระดูกสันหลังส่วนคออยู่ในแนวเดียวกับกระดูกสันหลังส่วนอกและส่วนเอว

ท่านอนคว่ำ ถือว่าเป็นท่าที่ไม่ดี เพราะการนอนคว่ำนั้นจะทำให้กระดูกสันหลังส่วนเอวโค้งไปทางด้านหน้ามากขึ้น นอกจากนี้ เวลาเรานอนคว่ำก็ต้องตะแคงหน้าไปทางด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งจะทำให้กระดูกต้นคอบิดไปด้วย

นอกจากเรื่องของท่านอนที่เป็นสาเหตุของอาการปวดหลังแล้ว องค์ประกอบอื่นๆ อย่างหมอนหรือที่นอนก็มีส่วนสำคัญต่อสุขภาพหลังของคนเราด้วยเช่นกัน

หมอนที่ใช้หนุนคอ ถือว่ามีส่วนช่วยรองรับกระดูกสันหลังส่วนคอให้อยู่ในแนวโค้งที่ปกติ เพราะในขณะที่หลับ กล้ามเนื้อรอบๆ คอจะคลายตัว หากคออยู่ในท่าที่ไม่ดี ตื่นมาอาจปวดคอหรือคอแข็งได้ ดังนั้น หมอนที่ใช้ควรมีความนุ่มและขนาดพอดี โดยทั่วไปหมอนมาตรฐานควรมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6 นิ้ว แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าคุณเป็นคนคอสั้นหรือคอยาว เพราะถ้าคุณเป็นคนคอยาวมากไป การใช้หมอนมาตรฐานก็จะทำให้ศีรษะอยู่ในท่าที่แหงนมากเกินไป

มีผู้ป่วยไม่น้อยที่มาพบแพทย์ด้วยเรื่องปวดต้นคอ หรือคอแข็งโดยไม่คิดว่าสาเหตุเกิดจากหมอนที่ตนเองใช้อยู่ แต่การที่จะบอกว่าหมอนแบบไหน หรือใบใดที่จะเหมาะกับใครนั้น เห็นทีจะยากสักหน่อย แต่ก็มีหลักง่ายๆ คือ เมื่อคุณหนุนหมอนใบนั้นแล้วรู้สึกสบายคอ หรือตื่นมาแล้วไม่มีอาการปวดเมื่อยต้นคอให้เป็นที่รำคาญใจ ก็ถือว่าเพียงพอ และไม่จำเป็นว่าต้องมีราคาแพงเสมอไปนะครับ หมอนราคาถูกๆ แต่เป็นขนาดที่เหมาะกับคุณ ก็จะสามารถรองรับศีรษะและกระดูกสันหลังส่วนคอให้กับคุณได้ดีทีเดียว

ที่นอน สำหรับที่นอนที่ยัดด้วยนุ่น ที่คนไทยเราใช้กันอยู่นั้น เป็นที่นอนที่เหมาะอยู่แล้ว เพราะไม่แข็งหรือนุ่มจนเกินไป แต่สำหรับที่นอนฟองน้ำที่ใช้กับเตียงสปริง ถือว่าเป็นที่นอนที่ไม่เหมาะกับสุขภาพหลัง หรือสำหรับผู้ที่มีอาการปวดหลัง เพราะมีความนุ่มหรืออ่อนตัวมากเกินไป ทำให้กระดูกสันหลังอยู่ในแนวที่ผิดปกติ

บางคนเข้าใจผิดว่า การนอนที่นอนแข็งๆ เช่น บนไม้กระดาน, เสื่อ หรือนอนกับพื้น จะช่วยลดอาการปวดหลังได้ จริงๆ แล้วไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกครับ ที่นอนที่ถูกควรมีลักษณะที่เรียกว่าแน่น หรือเป็นที่นอนที่ยัดนุ่น ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว

เหล่านี้เป็นเพียงองค์ประกอบในการนอน ที่จะช่วยป้องกันและรักษาอาการปวดหลังแต่ถ้าหากสาเหตุการปวดหลังของคุณเกิดจากอุบัติเหตุหรือเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ หรือแม้กระทั่งจากความเครียด คุณก็คงต้องปรึกษาแพทย์ เพื่อหาสาเหตุและให้การรักษาที่ถูกต้องต่อไป


ทีมา :women.kapook.com

ป้ายกำกับ:

ข้อดีของ "หายใจ" ช้า (ประชาชาติธุรกิจ)

"หายใจ" พฤติกรรมของร่างกายที่หลายคนมองว่า เป็นเรื่องที่สุดแสนจะง่าย เพราะหายใจใครๆ ก็ทำได้ทั้งนั้น แต่...เชื่อหรือไม่ว่า การหายใจของคนจำนวนไม่น้อยนั้น ต้องบอกว่า "ผิด"

เพราะการหายใจที่ถูกวิธี ถูกกับสรีระและธรรมชาตินั้นคือ การที่หายใจเข้าท้องป่อง หายใจออกท้องแฟบ แต่ในความเป็นจริง วิธีการหายใจของหลายคนกลับกลับตาลปัตรไป ซึ่งหารู้ไม่ว่าการที่เราหายใจถูกวิธีจะช่วย ให้สุขภาพดีขึ้น และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอื่นๆ ที่ตามมา และเชื่อหรือไม่ว่า แค่หายใจถูกๆ ดีๆ ก็สามารถช่วย "ลดความดัน" ได้แล้ว

เรื่องของความดันโลหิตสูงในปัจจุบัน นับว่าเป็นเรื่องที่น่ากลัวทีเดียว เพราะเมื่อเกิดอาการนี้ขึ้นไม่ใช่เพียงแค่ทำให้คุณรู้สึกวูบวาบ วิงเวียนศีรษะเท่านั้น แต่หากปล่อยให้ร่างกายมีภาวะความดันโลหิตสูงอยู่เป็นเวลานาน จะทำให้เกิดการเสื่อมสภาพของหลอดเลือดแดง โดยเฉพาะหลอดเลือดเลี้ยงสมอง หัวใจและไต อันจะทำให้หลอดเลือดสมองแตกหรือตีบตัน นอกจากนั้นแล้วความดันโลหิตสูงยังทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นจนหัวใจโต กล้ามเนื้อหัวใจหนา อาจเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว หรือหัวใจวายจนถึงแก่ชีวิตได้...

เรื่องของเรื่องคือ เมื่อเกิดภาวะนี้ การหายใจ อย่างช้า...ช้า... ก็จะสามารถช่วยลดอาการดังกล่าวได้

การทำกิจกรรมเพื่อลดความดันโลหิตนั้นมีข้อจำกัดหลายประการ แต่ก็มีหลายวิธีที่อาจช่วย ลดความดันโลหิตได้ในผู้ที่ยังมีอาการไม่มาก เช่น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันควบคู่ไปกับการใช้ยา การควบคุมอาหาร และการหากิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายความเครียด เช่น การเล่นโยคะ การนั่งสมาธิ และการหายใจอย่างมีประสิทธิภาพ การหายใจที่มีประสิทธิภาพ คือ การหายใจที่มีอัตราต่ำกว่า 10 ครั้งต่อนาที (อัตราปกติของการหายใจโดยเฉลี่ยเท่ากับ 13.8-19.4 ครั้งต่อนาที) การหายใจที่ยาวและลึกขึ้นนั้นจะส่งผลดีต่อระบบหลอดเลือดหัวใจ

จากผลงานวิจัยทางการแพทย์พบว่า ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่มี การฝึกการหายใจช้าและลึกวันละประมาณ 15 นาที ติดต่อกันเป็น ระยะเวลา 2 เดือนนั้น ค่าความดันโลหิตลดลงมากกว่าผู้ป่วยกลุ่มที่ไม่ได้เข้ารับการฝึกการหายใจ

นั่นเพราะการหายใจช้าและลึกนั้นจะมีผลไปกระตุ้นปลายประสาท ที่สัมพันธ์กับระบบการทำงานที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงความดัน การเต้นของหัวใจและการไหลกลับของเลือดเข้าสู่หัวใจ ซึ่งจะเป็นผล ต่อเนื่องกับความดันที่ลดลงและความต้านทานภายในหลอดเลือด ทั่วร่างกายด้วย

แต่การฝึกหายใจให้มีประสิทธิภาพด้วยตนเองนั้น อาจไม่ใช่เรื่องง่ายหากจิตใจไม่ผ่อนคลาย มีความฟุ้งซ่าน หงุดหงิด โมโห กังวล ร่างกายไม่พร้อมฝึก รวมไปถึงสภาวะแวดล้อมที่อาจสร้างความรบกวนทางจิตใจ เช่น เสียงดัง อากาศที่ร้อนหรือหนาวเกินไป ล้วนแต่มีผลที่จะทำการฝึกทั้งสิ้น


หากการฝึกหายใจจะไม่เป็นเรื่องยากอีกต่อไป ด้วยเครื่องช่วยการฝึกหายใจที่เรียกว่า Device-Guided Breathing นวัตกรรมใหม่ทางการแพทย์ที่ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูงได้โดยปราศจากผลข้างเคียง

เครื่องทำงานโดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์วิเคราะห์รูปแบบการหายใจและยังออกแบบการหายใจใหม่ให้เหมาะสม อย่างมีแบบแผนและแน่นอน นั่นคือหายใจช้าและลึกขึ้น

"การฝึกหายใจที่มีแบบแผนแน่นอนจะสามารถกำหนดได้ว่า ต้องปฏิบัตินานเท่าใดจึงสามารถลดความดันได้ เพราะการฝึกอย่าง ต่อเนื่องเป็นประจำจะช่วยควบคุมภาวะความดันโลหิตสูงได้ ที่สำคัญ คือการใช้เครื่องมือนี้จะไม่มีผลข้างเคียงแต่อย่างใด"

การฝึกหายใจด้วยเครื่องจะส่งผลให้กล้ามเนื้อรอบหลอดเลือดขยายทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงหัวใจและอวัยวะต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น จึงส่งผลให้ความดันโลหิตลดลง เพียงฝึกหายใจด้วยเครื่องวันละ 15 นาที หรือสัปดาห์ละ 45 นาที จะมีผลทำให้ความดันโลหิตลดลงได้ถึง 14/9 มิลลิเมตรปรอท และจะสามารถเห็นผลชัดเจนภายใน 4 - 8 สัปดาห์

อย่างไรก็ตาม การรักษาโรคความดันโลหิตสูงจะมีประสิทธิภาพ มากยิ่งขึ้น หากใช้เครื่องควบคู่กับการรักษาโดยการใช้ยาและหรือ 1วิธีการอื่น ๆ ที่ไม่ใช้ยา

ที่มา : women.kapook.com

ป้ายกำกับ: ,

อาหารที่คนทำงานต้องไม่พลาด (อสมท)

หนุ่มสาวที่ต้องทำงานอยู่ในออฟฟิศทุกๆ วัน ควรได้รับอาหารเสริมอย่างเต็มที่ มาดูกันว่า อาหารอะไรบ้างที่เหมาะกับคนทำงานอย่างเราๆ ค่ะ

1. ข้าวกล้อง ข้าวกล้องมีวิตามินบีและอีสูง จึงช่วยเพิ่มพลังสมองในการทำงานช่วยป้องกันโรคเหน็บชาที่คนที่ต้องนั่งโต๊ะทำงานนานๆ มักจะเป็นกัน แถมยังป้องกันโรคสมองเสื่อมในอนาคตได้ด้วย

2. วิตามินบี มีอีกชื่อหนึ่งว่า "สารให้ความกระปี้กระเปร่า" มีอยู่ในข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท จมูกข้าว ถั่ว เมล็ดทานตะวัน นม กล้วย ส้ม เป็นต้น สาวๆ ที่ทำงานนานจนล้าห้ามพลาด

3. วิตามินซี ที่อยู่ในผักและผลไม้ เช่น ฝรั่ง สตรอเบอร์รี่ น้ำส้มคั้น มะละกอ บร็อคโคลี่ กะหล่ำปลี ถั่วงอก ฯลฯ เป็นส่วนประกอบที่สำคัญมากในการสร้างฮอร์โมนระงับความเครียด จะได้ทำงานอย่างสดใสไปทั้งวันเลย

4. น้ำมันปลา หรือโอเมก้า 3 ช่วยป้องกันโรคหัวใจ ไขข้ออักเสบ ช่วยลดอาการปวดรอบเดือนและระงับอาการซึมเศร้า เบื่อหน่ายจากการทำงานได้ด้วย

5. ผักใบเขียวอย่างตำลึง คะน้า เป็นอาหารกลุ่มโครินที่มีวิตามินบี ซึ่งช่วยเพิ่มความจำและสมาธิ

6. ดื่มน้ำ 8 แก้วต่อวัน เพื่อป้องกันอาการอ่อนเพลีย และการเป็นตะคริวจากการนั่งหรือยืนนานๆ แถมยังช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใสด้วย สาวๆ ที่ทำงานในห้องแอร์ตลอดวันยิ่งควรดื่มบ่อยๆ เพื่อไม่ให้ผิวแห้ง

7.น้ำใบบัวบก ทำงานมาทั้งวันช่วงบ่าย สาวๆ ก็คงจะเพลีย ขอแนะนำให้ดื่มน้ำใบบัวบกเพราะเป็นน้ำเพิ่มพลังชั้นยอด เป็นยาบำรุงแก้อ่อนเพลียช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย เสริมสร้างความจำและช่วยให้สมองทำงานได้ดีด้วย

8. ทานของหวานหลังอาหารกลางวัน จะทำคงความสดชื่นได้ยาวนานขึ้น เพราะรสเปรี้ยวและรสหวานนั้นจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นในร่างกาย ยิ่งตอนบ่ายๆ อาจจะง่วง ผลไม่รสเปรี้ยวคือคำตอบของคุณ ไม่ว่าจะเป็นมะม่วงหรือผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ต่างๆ จะกระตุ้นให้สาวๆ กระปรี้กระเปร่าขึ้นได้

9. ถั่ว ยิ่งคนที่ต้องใช้สายตาเพ่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรืองานที่ต้องใช้สายตานานๆ ควรมีถั่วติดโต๊ะไว้ด้วย เพราะถั่วมีวิตามินบี 2 บำรุงสายตาได้ดี

10. วิตามินซีและธาตุเหล็ก เพราะเวลาที่มีรอบเดือนร่างกายจะขาดธาตุเหล็ก ทำให้เหนื่อยง่าย หงุดหงิด ไม่มีสมาธิช่วงนั้นของเดือนจึงเป็นเวลาที่สาวๆ อย่างเราต้องทางวิตามินซี และธาตุเหล็กมากๆ วิตามินซีจะช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กเข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น

11. ชาเขียว นอกจากจะทำให้ลมหายใจสดชื่นไม่มีกลิ่นปากแล้ว ถึงชาเขียวที่ทานแล้วยังช่วยลดมลพิษในห้องทำงานได้ด้วย แค่วางทิ้งไว้เฉยๆ มันก็จะดูดฝุ่นละอองให้เราเอง ทำให้ลดการเป็นภูมิแพ้ไปโดยอัติโนมัติ

12.ไม่ควรรับประทานอาหารรสจัดในมือเช้า เพราะในตอนเช้าร่างกายของเรายังปรับตัวไม่ทันกับรสชาติเผ็ดร้อน เช้าๆ ควรทานเป็นอาหารรสกลางๆ ไปก่อนจะดีกว่า

13. ดื่มน้ำผลไม้ 1 แก้ว ก่อนจะดื่มกาแฟควรดื่มน้ำผลไม้ก่อน 1 แก้ว เพราะการดื่มกาแฟโดยที่ไม่มีอะไรรองท้องจะช่วยเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าได้ไม่นาน หลังจากนั้นจะกลับมาง่วงเหมือนเดิม และไม่ควรดื่มกาแฟเกิน 3 แก้วต่อวัน เพื่อไม่ให้ได้รับคาแฟอีนมากเกินไป

14. งดชากาแฟในเวลาเย็น เพราะอาจทำให้นอนไม่หลับ ส่งผลให้สมองพักผ่อนไม่เพียงพอ พอตื่นขึ้นมาสมองก็จะล้า คิดอะไรไม่ออกทำงานได้ไม่เต็มที่

15. หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มและมันจัดในมื้อเที่ยง เพราะอาหารที่มีไขมันสูงหรือเค็มจะทำให้เกิดการสะสม มีผลให้ร่างกายเคลื่อนไหวช้า ขาดความคล่องตัวที่คนทำงานต้องมี


ที่มา women.kapook.com

ป้ายกำกับ: ,

กลิ่นนั้นสำคัญไฉน?? (Hairworld)

เมื่อไม่นานมานี้มีโอกาสได้เข้าวัด (หลังจากที่ไม่ได้เข้ามานานมาก...) และได้มีโอกาสเข้าไปฟังเทศน์ ฟังธรรม ในขณะที่กำลังฟังอยู่ก็มีกลิ่นหนึ่งที่ไม่พึงประสงค์ ตอนแรกคิดว่าใครเหยียบขี้หมาเข้ามา แต่แล้วก็ไปสะดุดที่ผู้ชายคนหนึ่ง ในบริเวณที่ผู้ชายคนนั้นนั่งอยู่จะไม่ค่อยมีคนสาเหตุมาจาก "กลิ่นตัว" ของเขาซึ่งส่งกลิ่นโชยอบคลุ้งไปทั่วโบสถ์ (มิน่าล่ะแอบเห็นพระที่กำลังสวดแอบมีชำเลืองมาที่ชายคนนี้เหมือนกัน) แต่เราออกจะเห็นใจและสงสารผู้ชายคนนั้นอยู่เพราะเขาอาจจะไม่รู้ว่าตัวเองมีข้อผิดพลาดก็เป็นได้

เอาล่ะไหนๆ ก็พูดถึงเรื่องของ "กลิ่น" กันแล้ว ฉบับนี้จึงขอถือโอกาสแนะนำวิธีในการกำจัด "กลิ่นตัว" และกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์อย่าง "กลิ่นเท้า" มาฝากคุณผู้อ่านซะเลย

กลิ่นตัว เป็นปัญหาที่พบมากในเมืองร้อนอย่างบ้านเรา แต่ก่อนที่เราจะรู้จักกับการกำจัดกลิ่นตัว เราต้องรู้ที่มาก่อนว่ามันมีที่มาอย่างไรเพื่อหาทางกำจัดได้ถูกวิธีและถูกต้นตอจริงๆ โดย "กลิ่นตัว" ส่วนใหญ่เกิดจากต่อมเหงื่อชนิดพิเศษชนิดหนึ่ง โดยต่อมเหงื่อชนิดพิเศษนี้มีมากที่สุดบริเวณรักแร้ ต่อมเหงื่อดังกล่าวจะขับเอาเหงื่อออกมาแล้วเชื้อแบคทีเรียก็จะมากินเหงื่อนี้เป็นอาหาร เสร็จแล้วจะปล่อยเอากรดชนิดหนึ่งออกมา นอกจากนี้ไขมันที่เป็นส่วนประกอบของต่อมไขมันก็ทำให้เกิดกลิ่นตัวได้เช่นกัน เพราะไขมันในนี้อาจเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียบริเวณรักแร้ เกิด PH เป็นด่าง แล้วทำให้กลิ่นรุนแรงขึ้น

ซึ่งวิธีของการรักษาและกำจัดกลิ่นตัวเรา ก่อนอื่นก็ต้องกำจัดกันที่ต้นเหตุ ซึ่งเราจะต้องกำจัดเชื้อแบคทีเรียที่รักแร้ให้หมดไป "เชื้อแบคทีเรีย" ที่กล่าวมานี้ก็ไม่ต้องทำอะไรมาก เพียงแค่อาบน้ำฟอกสบู่ที่ผสมตัวยาที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียสูง เช่น สบู่ผสมเฉกซ่าคลอโรฟิน หรือผสมคลอเฮกซิดีน หรือไทรโคลทาแบน ถึงจะไม่ยากแต่แค่นี้ก็ยังไม่พอ ควรทายาครีมที่ผสมยาที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียบ้างวันละ 3-4 ครั้ง แต่ถ้ายังไม่ได้ผลก็ควรจะต้องมาแก้ที่จุดต่อมเหงื่อพิเศษนี้กัน ซึ่งต้องรักษาตามเหตุผลดังนี้

ถ้ากลิ่นมาจากต่อมเหงื่อ อาจใช้ยาดับกลิ่นที่เป็นลูกกลิ้งทาบริเวณรักแร้ ยาเหล่านี้จะไปทำให้ท่อของต่อมเหล่านี้อุดตัน ไม่ส่งให้มีกลิ่นหลุดรอดออกมาได้

ถ้าสาเหตุเกิดมาจากแบคทีเรีย การอาบน้ำหรือรักษาความสะอาดก็ช่วยได้

ถ้าสาเหตุเกิดจากอาหาร คงต้องระวังเรื่องการรับประทานอาหาร หากไม่ดีขึ้นแนะนำพบแพทย์เฉพาะทางด้านโรคผิวหนังเพื่อหาแนวทางในการรักษาต่อไป

ส่วนการป้องกันหรือขจัด "กลิ่นเท้า" ให้หมดไปนั้น ง่ายที่สุดก็คือเริ่มต้นที่ตัวเราเองก่อน พฤติกรรมหนึ่งที่คนส่วนใหญ่เป็นและทำให้เกิดกลิ่นเท้าก็คือการหมักหมมสะสมสิ่งสกปรกที่รองเท้าและถุงเท้า บางคนใส่รองเท้าเป็นปีๆ ไม่เคยซักสักครั้ง ไม่ว่าจะดำ สกปรกยังไงก็ไม่สนใจ แถมยังมองว่าดู (ความสกปรก) เป็นศิลปะ อาร์ติสต์ซะงั้น!! ซึ่งทางที่ดีคุณต้องไม่เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นความสกปรกเป็นสิ่งสวยงาม ควรรักษาความสะอาดที่เท้าอย่างจริงจังเพื่อให้กลิ่นและความสกปรกต่างๆ ออกไปจากชีวิตคุณซะ แล้วก็เริ่มได้แล้วตั้งแต่บัดนี้ด้วยวิธีนี้

หาผ้าขนหนูสะอาดๆ สักผืนใช้สำหรับเช็ดเท้าให้แห้ง จากนั้นใช้พัดลมเป่าก่อนที่จะใส่ถุงเท้าและรองเท้า อาจจะทาแป้งเด็กที่เท้าสักหน่อยเพื่อให้ไม่อับชื้นเกินไป หากมีการดูแลเท้าอย่างสม่ำเสมอแล้วกลิ่นอับก็จะเกิดขึ้นได้ยาก หรือหากใครที่กลิ่นติดเท้าแล้วอยากจะทำให้กลิ่นจางลง ก็เริ่มง่ายๆ ด้วยการแช่เท้าในน้ำอุ่นที่บีบน้ำมะนาวหรือมะกรูดลงไปสักวันละ 5 นาที เพื่อให้รูขุมขนเปิด สิ่งสกปรกจะได้หลุดออกได้ง่าย จากนั้นขัดด้วยที่ขัดส้นเท้าหรือฟุตสครับ ขัดและนวดไปเรื่อยๆ จากนั้นก็ทำให้รูขุมขนปิดด้วยการล้างเท้าด้วยน้ำปกติเช็ดให้แห้งด้วยผ้าสะอาดๆ ทาครีมบำรุงให้ทั่วเท้า โดยเฉพาะส้นเท้าและซอกนิ้ว ทำเช่นนี้สัปดาห์ละครั้งสองครั้ง กลิ่นที่เคยติดเท้าก็จะค่อยๆ ลดลงจนหมดไป

นอกจากการดูแลรักษาความสะอาดที่เท้าแล้ว ใครที่เป็นแผลที่เท้าแล้วไม่ดูแลอย่างถูกวิธีก็ส่งผลให้เกิดกลิ่นเท้าได้เช่นกัน แม้กระทั่งการกินอาหารมันๆ หรืออาหารที่มีไขมันสูง ไขมันจะแปรรูปเปลี่ยนเป็นพลังงาน ทำให้อุณหภูมิที่เท้าสูงขึ้น เหงื่อจึงออกมาก รวมทั้งยังทำให้แบคทีเรียขยายพันธุ์ได้ง่ายและทำให้เกิดกลิ่นเท้า ดังนั้นหลีกเลี่ยงหรือลดลงได้ก็ควรทำเช่นกัน

เอาล่ะเมื่อรู้วิธีอย่างนี้แล้ว ก็อย่าลืมนำไปปฏิบัติตามกันดู เพราะของอย่างนี้ใครทำใครได้นั่นเอง!!

ที่มา : women.kapook.com

ป้ายกำกับ: ,